การเคลื่อนไหวของ เงินบาท พบว่า ค่าเงินบาทแข็งค่าต่อเนื่อง โดยเมื่อวันที่ 15 ธ.ค.2568 เงินบาทแข็งค่าสุดที่ระดับ 31.44 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งเป็นการแข็งค่าขึ้นในรอบกว่า 4 ปีครึ่ง นับตั้งแต่กลางปี 2564 โดยแข็งค่านำประเทศอื่นในภูมิภาค
นายวิศิษฐ์ ลิ้มลือชา รองประธานกรรมการหอการค้าไทย กล่าวถึง ค่าเงินบาทแข็งค่า ว่า นโยบายการเงินโลกกำลังเผชิญความผันผวนครั้งสำคัญ หลังสหรัฐเริ่มปรับทิศทางนโยบายการเงิน ส่งแรงกระเพื่อมไปทั่วตลาดการเงินและการค้าโลก
โดยเฉพาะค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าลงอย่างมีนัยสำคัญ จากเดิมที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ใช้นโยบายการเงินตึงตัว ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่องในช่วงหลังวิกฤติโควิด-19 เพื่อสกัดเงินเฟ้อ ล่าสุด เฟดส่งสัญญาณชัดเจนถึงการเปลี่ยนทิศทางนโยบาย โดยเตรียมทยอยปรับลดอัตราดอกเบี้ยระยะถัดไป
สำหรับปัจจัยสำคัญมาจากอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐที่ลดลงมาอยู่ในกรอบเป้าหมาย ทำให้เฟดเริ่มให้น้ำหนักการพยุงและกระตุ้นเศรษฐกิจมากขึ้น ท่ามกลางความกังวลว่า หากยังใช้นโยบายตึงตัวต่อไปอาจทำให้เศรษฐกิจสหรัฐชะลอตัวรุนแรง
ทั้งนี้ การส่งสัญญาณลดดอกเบี้ยดังกล่าวเป็นการผ่อนคลายนโยบายการเงิน ซึ่งส่งผลโดยตรงให้เงินดอลลาร์อ่อนค่าลงทันที ขณะที่ตลาดยังจับตาระยะยาวเฟด อาจเดินหน้าสู่นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายมากขึ้น (Easing) แม้ยังไม่ชัดเจนว่าจะนำมาตรการอัดฉีดสภาพคล่อง (Quantitative Easing:QE) มาใช้อีกครั้งหรือไม่ หลังจากก่อนหน้านี้อยู่ช่วงดึงสภาพคล่องออกจากระบบ (QT หรือ Quantitative Tightening)
นายวิศิษฐ์ กล่าวว่า แม้ค่าเงินดอลลาร์จะอ่อนค่าลง แต่ดอลลาร์ยังเป็นสกุลเงินหลักของการค้าโลก ส่งผลให้ความผันผวนจากนโยบายการเงินสหรัฐแพร่กระจายไปยังประเทศต่าง ๆ หลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะการค้าระหว่างประเทศส่วนใหญ่ยังกำหนดราคาและชำระเงินด้วยสกุลเงินดอลลาร์ แม้เป็นการค้าระหว่างประเทศที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับสหรัฐ เนื่องจากความคุ้นเคยและความสะดวกในระบบการเงินโลก
การค้าโลกยังผูกติดกับเงินดอลลาร์ ขณะเดียวกัน ระบบการเงินของหลายประเทศยังไม่เอื้อต่อการใช้สกุลเงินท้องถิ่นโดยตรงในการค้าข้ามประเทศ ทำให้การทำธุรกรรมต้องแปลงค่าเงินผ่านดอลลาร์สหรัฐ เช่น การค้าระหว่างไทยกับอเมริกาใต้ ต้องแปลงจากเงินบาทเป็นดอลลาร์ ก่อนแปลงเป็นสกุลเงินท้องถิ่น และเมื่อเงินไหลกลับก็ต้องแปลงย้อนกลับอีกครั้ง ส่งผลให้เกิดต้นทุนค่าธรรมเนียมการแลกเปลี่ยนเงินตราหลายต่อ
แม้ทิศทางดอกเบี้ยสหรัฐจะเอื้อต่อการอ่อนค่าของดอลลาร์ในระยะหนึ่ง แต่ตลาดยังคงเผชิญความไม่แน่นอน เนื่องจากค่าเงินไม่ได้ขึ้นอยู่กับนโยบายดอกเบี้ยเพียงอย่างเดียว หากยังขึ้นกับตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐ เช่น การจ้างงาน การเติบโตของ GDP และความเสี่ยงเศรษฐกิจถดถอย ซึ่งจะทยอยประกาศออกมาเป็นระยะ และอาจสร้างแรงเหวี่ยงต่อค่าเงินและตลาดโลกอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ ความผันผวนของค่าเงินยังคงเป็นโจทย์ใหญ่ของภาคธุรกิจไทย โดยเฉพาะภาคส่งออกและนำเข้า ที่ยังคงผูกติดกับการใช้เงินดอลลาร์สหรัฐเป็นหลัก ส่งผลให้ทุกครั้งที่ค่าเงินผันผวน จะเกิดความวุ่นวายในการซื้อขาย ทั้งกรณีขายแพงไปหรือขายถูกไป กระทบต่อกำไรและการวางแผนธุรกิจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
แนะผู้ส่งออกรับมือความเสี่ยงค่าเงิน นายวิศิษฐ์ กล่าวว่า ในสถานการณ์เช่นนี้ วิธีรับมือที่เหมาะสมที่สุดในปัจจุบันคือ การประกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน (Hedging) โดยเฉพาะการทำสัญญา Forward Rate เพื่อกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนล่วงหน้า แม้จะมีต้นทุนเพิ่มจากค่าธรรมเนียมและอาจได้รับเงินบาทไทยน้อยลง แต่ยังถือว่าดีกว่าการปล่อยให้ธุรกิจเผชิญความไม่แน่นอนในอนาคต
ในภาวะที่การส่งออกเผชิญแรงกดดันจากทั้งค่าเงินและเศรษฐกิจโลก สิ่งที่ภาคธุรกิจทำได้ดีที่สุดในเวลานี้คือ การบริหารความเสี่ยง ไม่ใช่การคาดหวังกำไรจากค่าเงิน แต่เป็นการประกันว่าอย่างน้อยจะไม่แย่ไปกว่านี้ เป็นการล็อกความเสี่ยงไว้ ยอมเสียต้นทุนเพิ่มเล็กน้อยเพื่อความมั่นใจในการดำเนินธุรกิจ และเป็นการป้องกันไม่ให้สถานการณ์เลวร้ายลงกว่าเดิม นายวิศิษฐ์กล่าว
สำหรับแนวโน้มค่าเงินบาทในระยะต่อจากนี้ มองว่ามีโอกาสแข็งค่าได้พอสมควรในช่วงหนึ่ง เนื่องจากกระแสข่าวที่ประเมินว่า เฟด อาจทยอยปรับลดอัตราดอกเบี้ย ซึ่งเป็นปัจจัยกดดันทิศทางเงินดอลลาร์ อย่างไรก็ตาม ความผันผวนยังคงอยู่ เนื่องจากค่าเงินไม่ได้ขึ้นอยู่กับอัตราดอกเบี้ยเพียงอย่างเดียว แต่ยังขึ้นกับภาวะเศรษฐกิจโดยรวมของสหรัฐ
ทั้งนี้ ตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐ เช่น อัตราการจ้างงาน และอัตราการเติบโตของ GDP ที่ทยอยประกาศเป็นรายเดือน ล้วนมีผลต่อทิศทางค่าเงิน และเป็นปัจจัยที่คาดการณ์ล่วงหน้าได้ยาก ทำให้ผู้ประกอบการต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด
ผู้ส่งออกได้รับเงินบาทน้อยลง นายธนากร เกษตรสุวรรณ ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) กล่าวว่า สถานการณ์ค่าเงินบาทที่ปรับตัวแข็งค่าขึ้นมากที่สุดในรอบเกือบ 4 ปี ว่า สหรัฐส่งสัญญาณชัดเจนเรื่องการลดอัตราดอกเบี้ย และมีแนวโน้มพิจารณาลดต่อเนื่อง
ส่งผลให้เงินทุนบางส่วนเคลื่อนย้ายออกจากสหรัฐเข้ามาเอเชีย โดยไทยถูกมองว่าเป็นหนึ่งในจุดหมายที่น่าสนใจ จากความเชื่อมั่นต่อเสถียรภาพรัฐบาลและเศรษฐกิจ ทำให้เงินทุนต่างชาติไหลเข้ามาพักในประเทศเพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ดี เงินทุนไหลเข้าดังกล่าวส่งผลให้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น ซึ่งกระทบต่อภาคการส่งออก เนื่องจากการค้าระหว่างประเทศส่วนใหญ่ชำระเป็นสกุลเงินดอลลาร์
รวมทั้งเมื่อเงินบาทแข็งค่าทำให้ผู้ส่งออกได้รับเงินบาทลดลงต่อเงินดอลลาร์หนึ่งหน่วย หากเปรียบเทียบค่าเงินบาทจากระดับเดิมราว 32.5-33 บาทต่อดอลลาร์ มาอยู่ที่ 31.5 บาทต่อดอลลาร์ เท่ากับรายได้จากการส่งออกหายไปราว 6% ซึ่งถือว่าเป็นสัดส่วนที่ค่อนข้างสูง และจะสะท้อนผลกระทบต่อยอดส่งออกในช่วงเดือนนี้อย่างชัดเจน
คาดเงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่าต่อ นายธนากร กล่าวว่า สำหรับ แนวโน้มค่าเงินบาท ในช่วง 3 เดือนข้างหน้า มองว่ามีโอกาสแข็งค่าต่อเนื่อง แต่ไม่น่ากังวลรุนแรง เนื่องจากเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังไม่แข็งแรง ทำให้รัฐบาลและธนาคารกลางสหรัฐจำเป็นต้องใช้นโยบายการเงินผ่อนคลาย ส่งผลให้เงินทุนยังมีแนวโน้มทยอยไหลออกมา
ทั้งนี้ ขอฝากผู้ส่งออก โดยเฉพาะ SME ให้เร่งบริหารความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนด้วยการทำ hedging หรือการประกันความเสี่ยงค่าเงินล่วงหน้า ซึ่งโดยปกติธนาคารพาณิชย์จะอนุญาตให้ทำสัญญาล่วงหน้าได้ประมาณ 6 เดือน เพื่อช่วยปกป้องรายได้และกำไรในระยะสั้น
นอกจากนี้ขอให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เข้ามาดูแลค่าเงินบาทให้มีความเหมาะสม เพื่อบรรเทาผลกระทบจากความผันผวนของค่าเงินบาทต่อภาคส่งออกไทยในช่วงต่อจากนี้ ที่สำคัญคือ ต้องพิจารณาดูประเทศเพื่อนบ้านของเราด้วยว่าค่าเงินของแต่ละประเทศมีความแข็งค่าหรือ่อนค่าอย่างไรเมื่อเทียบกับไทย รวมทั้งดูการบริหารหรือมีมาตรการดูแลค่าเงินเพื่อมาปรับใช้ในการดูแลค่าเงินบาทของไทย
ที่มา : กรุงเทพธุรกิจ |