กยท.ลั่นยางพาราไทยพร้อมรับมาตรการ EUDR มีผลบังคับใช้ มั่นใจได้อานิสงส์เต็ม ๆ หลังถูกประเมินอยู่ในกลุ่มประเทศความเสี่ยงตํ่า ถูกสุ่มตรวจสินค้าแค่ 1% เร่งขึ้นทะเบียนสวนยาง 20 ล้านไร่ มิ.ย.นี้ พร้อมให้ตรวจสอบย้อนกลับ จากที่สหภาพยุโรป (EU) ได้ออกกฎระเบียบด้วยการไม่ทำลายป่าไม้ หรือ EU Deforestation Regulation (EUDR) ซึ่งจะครอบคลุมสินค้า 7 ชนิดหลัก และผลิตภัณฑ์ที่แปรรูปจากสิ่งเหล่านี้ที่ส่งเข้าไปยังอียู ได้แก่ ปาล์มนํ้ามัน, ถั่วเหลือง, ไม้,โกโก้,กาแฟ,ยางพารา และเนื้อวัว ทั้งนี้เพื่อลดผลกระทบจากการตัดไม้ทำลายป่า และส่งเสริมให้สินค้าในตลาดสหภาพยุโรป (EU) มีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ป่าไม้
สำหรับ EUDR เดิมได้ประกาศจะมีผลบังคับใช้ ตั้งแต่วันที่ 30 ธันวาคม 2567 แต่ได้มีการเลื่อนออกไปเป็นวันที่ 30 ธันวาคม 2568 สำหรับบริษัทขนาดกลางและใหญ่ และเป็นวันที่ 30 มิถุนายน 2569 สำหรับธุรกิจขนาดเล็กและขนาดย่อย
เหตุผลในการเลื่อนครั้งนี้เป็นผลมาจากความกังวลของประเทศสมาชิกอียู ประเทศคู่ค้า และภาคธุรกิจที่เกี่ยวข้อง มองว่ามีระยะเวลาเตรียมความพร้อมเดิมไม่เพียงพอ โดยเฉพาะในด้านการจัดทำระบบตรวจสอบย้อนกลับ (traceability) และการปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านสิ่งแวดล้อม และกฎหมายท้องถิ่นของประเทศผู้ผลิต
ยางพาราไทยพร้อมมาก รับกฎ EUDR กยท.เร่งขึ้นทะเบียน 20 ล้านไร่ ดันส่งออก
นายสุขทัศน์ ต่างวิริยกุล รองผู้ว่าการด้านปฏิบัติการ และรักษาการแทนผู้ว่าการการยางแห่งประเทศไทย (กยท.) เปิดเผยกับ ฐานเศรษฐกิจ ว่า จากที่ล่าสุด (พ.ค.2568) อียูได้จัดประเภทความเสี่ยงต่าง ๆ ของประเทศต่าง ๆ ภายใต้มาตรการ EUDR ไทยได้รับการจัดอยู่ในกลุ่มประเทศที่มีความเสี่ยงตํ่า (Low-Risk) โดยสินค้าไทยจะถูกตรวจสอบที่ด่านศุลกากรของอียูเพียง 1% โดยที่ยังต้องเตรียมข้อมูลพื้นฐานสำหรับการตรวจสอบย้อนกลับ แต่ไม่จำเป็นต้องดำเนินการประเมินความเสี่ยงอย่างละเอียด
จากสถานะดังกล่าวจะทำให้สินค้ายางพาราของไทยที่ส่งเข้าไปยังอียูมีความสามารถในการแข่งขันที่ดี จากผู้นำเข้า หรือผู้ใช้ปลายทางมีความมั่นใจว่าข้อมูลในการตรวจสอบย้อนกลับของประเทศไทยมีความน่าเชื่อถือ ซึ่งจะทำให้ไทยส่งออกยางพาราไปตลาดอียูได้เพิ่มขึ้น (ปี 2557 ไทยส่งออกยางพารา และผลิตภัณฑ์ไปอียูประมาณ 1,870 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ซึ่งยางพาราและผลิตภัณฑ์ที่ส่งออกไปสัดส่วนประมาณ 90% อยู่ภายใต้ข้อบังคับของ EUDR โดยเป็นสินค้าที่มาจากพื้นที่มีเอกสารสิทธ์ และไม่บุกรุกป่า
ปัจจุบัน กยท.ได้ขึ้นทะเบียนสวนยางพาราทั่วประเทศแล้วประมาณ 15-16 ล้านไร่ และมีเป้าหมายจะเพิ่มเป็น 20 ล้านไร่ในเดือนมิถุนายน 2568 ซึ่งพื้นที่ที่เหลือ ส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่ ส.ป.ก. ที่ถูกเปลี่ยนมือไปแล้ว ซึ่งจะเร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จต่อไป
อย่างไรก็ดีเพื่อรองรับกับมาตรการ EUDR กยท. ได้ให้การสนับสนุนสินค้ายางพาราของไทยเพื่อไปจำหน่ายในอียู โดยได้ดำเนินการซื้อขายยาง EUDR ภายใต้แพลตฟอร์ม TRT (Thai Rubber Trade) ของการยางแห่งประเทศไทย โดยซื้อ-ขาย ผ่านตลาดกลางยางพาราการยางแห่งประเทศไทย 8 แห่ง และตลาดเครือข่ายตลาดกลางยางพาราการยางแห่งประเทศไทยจำนวนมากกว่า 500 แห่ง โดยการยางแห่งประเทศไทยได้ช่วยเกษตรกรชาวสวนยางในการออกเอกสารแสดงแหล่งที่มาของผลผลิตยางพารา ภายใต้เงื่อนไขของประเทศสหภาพยุโรป ( EUDR compliance)
การที่อียูประกาศให้ไทยเป็นประเทศความเสี่ยงตํ่า (Low Risk) ซึ่งหมายความว่าประเทศไทยมีระดับความเสี่ยงตํ่าในการผลิตสินค้าเกษตรที่อาจเกี่ยวข้องกับการตัดไม้ทำลายป่า ส่งผลให้ผู้ประกอบการไทยที่ส่งออกสินค้ายาง EUDR และไม้ยาง สามารถปฏิบัติตามข้อกำหนดของ EUDR ได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะในด้านการตรวจสอบย้อนกลับและการจัดทำเอกสาร
การได้รับการจัดอันดับดังกล่าวสะท้อนถึงความก้าวหน้าของประเทศไทยในการพัฒนาเกษตรกรรมที่ยั่งยืน เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และสอดคล้องกับมาตรฐานสากลที่ EU ให้การยอมรับ
ที่มา : ฐานเศรษฐกิจ |