|
 
 
 
วันที่ / Date 05/06/2568
54.30 บาท/กก. (THB/Kg.)
 
วันที่ / Date 04/05/2568
1,360.00 USD/MT (@ B/USD)
  •   ทรัมป์ 2.0 - เศรษฐกิจทรุด ฉุด ดัชนีเชื่อมั่นฯ เดือน เม.ย. ต่ำสุดรอบ 7 เดือน new

ศูนย์พยากรณ์ฯ ม.หอการค้าไทย เผยผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค เดือนเมษายน แตะ55.4 ต่ำสุดในรอบ7เดือน เหตุผู้บริโภคมีความกังวลสงครามการค้าจากนโยบาย ทรัมป์ 2.0 รวมถึงเศรษฐกิจไทยยังฟื้นตัวได้ช้า

ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ เปิดเผยว่า จากผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคประจำเดือนเมษายน 2568 พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคปรับตัวลดลง มาอยู่ที่ระดับ 55.4 โดยเป็นการปรับตัวลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 และอยู่ในระดับที่ต่ำสุดในรอบ 7 เดือนนับตั้งแต่เดือนตุลาคม 2567 เป็นต้นมา


เนื่องจากผู้บริโภคมีความกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าจากนโยบาย Trump 2.0 ส่งผลให้ตลาดหลักทรัพย์ของไทยและทั่วโลกปรับตัวลดลง แม้ว่ารัฐบาลจะออกมาตราการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลในช่วงไตรสมาสแรกของปีนี้แต่ผู้บริโภครู้สึกว่าเศรษฐกิจไทยยังฟื้นตัวได้ช้า


ทั้งนี้ ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับเศรษฐกิจโดยรวม ปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ระดับ 49.3 ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับโอกาสหางานทำโดยรวม ปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ระดับ 53.0 และดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับรายได้ในอนาคต ปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ระดับ 63.9 และการที่ดัชนียังอยู่ในระดับต่ำกว่าปกติ (ที่ระดับ 100) แสดงว่า ผู้บริโภคยังไม่มีความมั่นใจเกี่ยวกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจโอกาสในการหางานทำ และรายได้ในอนาคตเพราะมีความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์การเมืองในประเทศ และค่าครองชีพที่ยังทรงตัวอยู่ในระดับสูง 


นอกจากนี้ ปัญหาเศรษฐกิจโลกที่มีความเสี่ยงเข้าสู่ภาวะชะลอตัวลงจากสงครามการค้าที่กำลังเกิดขึ้น ซึ่งจะส่งผลกระทบให้เศรษฐกิจไทยและการจ้างงานมีโอกาสฟื้นตัวได้ช้าในอนาคต ซึ่งจะทำให้รายได้ในอนาคตของผู้บริโภคมีความไม่แน่นอนสูง


ทั้งนี้ปัจจัยที่มีผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในเดือนเมษายน 2568 มีปัจจัยหลายด้านทั้งบวกและลบที่ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภค สำหรับปัจจัยบวกได้แก่


1. คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบมาตรการลดค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมสำหรับที่อยู่อาศัย โดยลดค่าจดทะเบียนโอนอสังหาริมทรัพย์จาก 2.00% เหลือ 0.01% และลดค่าจดทะเบียนการจำนอง อสังหาฯ จาก 1.00% เหลือ 0.01% ที่มีราคาซื้อขายและราคาประเมิน ไม่เกิน 7 ล้านบาท และวงเงินจำนองไม่เกิน 7 ล้านบาทต่อสัญญา รวมถึงส่งเสริมการลงทุนภายในประเทศให้เกิดการจ้างงานและการผลิต


2. คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติ 5 ต่อ 2 เสียง ให้ลดอตัราดอกเบ้ียนโยบาย 0.25% จาก 2.00% เป็น 1.75% ต่อปี โดยให้มีผลทันที เนื่องจากสถานการณ์นโยบายการค้าสหรัฐ และการตอบโต้ของประเทศเศรษฐกิจหลักจะกระทบต่อเศรษฐกิจการเงิน และการค้าโลก


โดยในปัจจุบันยงัอยู่ในระยะเริ่มต้นที่ความไม่แน่นอนสูงมากเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มปรับลดลง สถานการณ์มีแนวโน้มยืดเยื้อและผลกระทบจะทอดยาวไปสู่การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการค้าการผลิตโลกที่ทำให้ประสิทธิภาพลดลงในระยะยาว


3. การส่งออกของไทยในเดือนมีนาคม 2568 มีมูลค่า 29,548.25 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 17.84% ขณะที่การนำเข้ามีมูลค่า 28,575.29 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 10.18% ส่งผลให้เกินดุลการค้า 972.96 ล้านดอลลาร์


ส่งผลให้ช่วง 3 เดือนแรกปี 2568 ส่งออกได้รวม 81,532.34 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นร้อยละ15.23 และมีการนำเข้ารวม 80,451.34 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.43 ส่งผลให้เกินดุลการค้ารวม 1,081.00 ล้านดอลลาร์


4. ราคาน้ำมันขายปลีกในประเทศปรับตัวลดลง โดยราคาน้ำมันขายปลีกแก๊สโซฮอล ออกเทน 91 (E10) และแก๊สโซฮอล ออกเทน 95 (E10) ปรับตัวลดลงประมาณ 1.30 และ 1.30 บาทต่อลิตร จากระดับ 33.78 และ 34.15 บาทต่อลิตร ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2568 มาอยู่ที่ระดับ 32.48 และ 32.85 บาทต่อลิตร ณ สิ้นเดือนเมษายน 2568 


ส่วนราคาน้ำมันดีเซลขายปลีกในประเทศ ปรับตัวลดลงประมาณ 0.50 บาทต่อลิตร จากระดับ 32.44 บาทต่อลิตร ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2568 มาอยู่ที่ระดับ 31.94 บาทต่อลิตร ณ สิ้นเดือนเมษายน2568 


5. SET Index ในเดือนเมษายน 2568 ปรับตัวเพิ่มขึ้น 45.63 จุด โดยปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก 1,158.09 จุด ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2568 เป็น 1,197.26 จุด ณ สิ้นเดือนเมษายน 2568


6. จำนวนนะกท่องเที่ยวต่างชาติที่เข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยจำนวนมากขึ้นหลังจากการเปิดประเทศตลอดจนยกเว้นการยื่นวีซ่านักท่องเที่ยว รวมการขยายระยะเวลาการพำนักของนักท่องเที่ยว 


ส่งผลให้เกิดเม็ดเงินหมุนเวียนในประเทศมากขึ้นและกิจกรรมทางเศรษฐกิจในภูมิภาคต่างๆ ปรับตัวดีขึ้น


7. ราคาพืชผลทางการเกษตรหลายรายการปรับตวัดีข้ึนหรือทรงตัวในระดับที่ดีเกือบทุกรายการสำคัญส่งผลใหเ้กษตรกรเริ่มมีรายไดส้ ูงข้ึน อย่างไรก็ดี ราคาข้าว อ้อย มันสำปะหลังและยางพารา มีราคาไม่ค่อยดี


สำหรับปัจจัยลบในเดือนเมษายน 2568ได้แก่

1. สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2568คาดว่าจะขยายตัวที่ 2.1% ช่วงคาดการณ์ที่1.6-2.6% ซึ่งลดลงจากการประมาณคร้ังก่อน ที่จะขยายตัว 3.00% สาเหตุหลักมาจากแรงกดดันด้านการค้าโลก 


โดยเฉพาะผลกระทบจากนโยบายภาษีนำเข้าของสหรัฐอเมริกาและการชะลอตัวของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้า


2. ความกังวลต่อแนวทางนโยบายเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกา และการตอบโต้ของประเทศต่างๆ ที่ได้รับผลกระทบของนโยบาย Trump 2.0


3. ผู้บริโภคมีความรู้สึกว่าเศรษฐกิจยังฟื้นตัวช้า ตลอดจนปัญหาค่าครองชีพ รวมถึงผูบ้ ริโภคยงัรู้สึกว่า รายได้ในปัจจุบันไม่สอดคลอ้งกบัค่าครองชีพที่ปรับตวัสูงขึ้น


4. ราคาข้าวเจ้า อ้อย มันสำปะหลัง และยางพารา อยู่ในระดับต่ำกว่าปี ที่ผ่านมา อาจส่งผลให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้นไม่มากนัก มีผลต่อกำลังซื้อในบางพื้นที่ต่างจังหวัดในระยะนี้


5. ความกังวลต่อสถานการณ์ความขัดแย้งทางด้านภูมิรัฐศาสตร์ของโลกที่ยงัคงยืดเยื้อ ทั้งสถานการณ์สงครามระหว่างรัสเซียและยูเครน การสู้รบระหว่างอิสราเอลกับขบวนการฮามาส (Hamas) ตลอดจนสถานการณ์ ความขัดแย้งในตะวันออกกลางที่รุนแรงขึ้น ซึ่งอาจส่งผลให้ราคาน้ำมันและพลังงานโลกยังทรงตัวสูงและกระทบต่อต้นทุนการผลิตสินค้า 


6. เงินบาทปรับตัวแข็งค่าขึ้นเล็กน้อย จากระดับ 33.822 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2568 เป็น 33.746 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ณ สิ้นเดือนเมษายน 2568 สะท้อนว่ามีการไหลออกสุทธิของเงินตราต่างประเทศ


7. ความกังวลต่อสถานการณ์ฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 ในเขตพ้ืนที่กทม.และปริมณฑลและในบางจังหวัดของภาคกลาง และภาคเหนือ ที่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตของประชาชน


8. ความกังวลต่อสถานการณ์ภัยแล้ง ที่จะส่งผลกระทบต่อความต้องการใช้น้ำทั้งภาคเกษตรภาคอุตสาหกรรม ภาคบริการ ตลอดจนภาคครัวเรือน


 

ที่มา : ฐานเศรษฐกิจ

Update :  15 พฤษภาคม 2568     เวลา : 10:39:39 น.
 

สมาคมน้ำยางข้นไทย
60 ถ.โชติวิทยะกุล 3 ต.หาดใหญ่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา 90110
Tel. 0 7455 9508 , 09 5065 2772
E-mail tla.latex@gmail.com, contact@tla-latex.org

ระบบจัดการข้อมูล | ระบบเช็คอีเมล์
Copyright 2006. www.tla-latex.org All rights reserved.
Powered by ME-FI dot com