ราคายางที่พุ่งขึ้นสูงแตะกิโลกรัม(กก.) 90 บาทเข้าไปแล้วและคาดว่าจะถึง 100 บาท ในไม่ช้านี้ โดยมีปัจจัยเกื้อหนุน คือความต้องการของตลาดขยายตัว จากภาวะเศรษฐกิจโลกที่เป็นในทิศทางบวก อย่างไรก็ตามเนื่องจากช่วงนี้เกษตรกรปิดหน้ากรีดยาง โดยเฉพาะเกษตรกรในภาคใต้ ที่เป็นแหล่งปลูกยางมากที่สุดในประเทศ ทำให้น้ำยางออกสู่ตลาดน้อย ดังนั้นแม้ราคายางจะสูงมาก แต่อาจถึงมือเกษตรกรไม่มากนัก
นายอุทัย สอนหลักทรัพย์ นายกสมาคมสหพันธ์ชาวสวนยางแห่งประเทศไทย กล่าวว่า เนื่องจากยางพาราของไทยมีปัญหาใบร่วงกระจายอยู่ทั้งภาคใต้และตะวันออก ทำให้ปริมาณน้ำยางลดลง และเข้าสู่ช่วงพักหน้ากรีดยางเร็วขึ้น โดยปีนี้เกษตรกรได้ทยอยปิดหน้ากรีดตั้งแต่เดือน ก.พ. ที่ผ่านมา คาดว่าจะเริ่มกรีดยางได้อีกครั้งในเดือน พ.ค.นี้หรือต้องรอให้มีฝน โดยปริมาณฯยางจะออกสู่ตลาดมากในช่วงเดือน ก.ค.- ส.ค. ของทุกปี
ปริมาณน้ำยางที่ออกสู่ตลาดน้อย แต่ความต้องการของตลาดมีมาก ทำให้ราคายางในตลาดปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งมีความเป็นไปได้ที่จะแตะหลัก 100 บาทในเร็วๆนี้ แม้ว่าสถานการณ์ดังกล่าวจะเป็นประโยชน์กับกลุ่มที่มียางอยู่ในสต๊อก แต่เกษตรกรก็หวังว่าราคาจะปรับเพิ่มขึ้นยาวไปจนกว่าจะสามารถกรีดยางได้อีกครั้ง
แต่ทั้งนี้ เมื่อวิเคราะห์ราคายางจะเห็นได้ว่า ราคาที่ปรับเพิ่มขึ้นนั้นจะเป็นประเภทยางแผ่นรมควัน คิดเป็นสัดส่วนการผลิตโดยรวมเพียง 10 % เท่านั้น โดยมีส่วนต่างกับราคายางประเภทอื่นๆ ถึง กก.ละ 30 บาท ดังนั้นเพื่อปรับเพิ่มมูลค่ายางพาราให้กับเกษตรกรชาวสวนยาง ทางสมาคมสหพันธ์ชาวสวนยางฯ จึงเสนอให้การยางแห่งประเทศไทย (กยท.) ใช้เงินที่ได้จากการเก็บค่าธรรมเนียมพิเศษจากการส่งออกยางพารา (Cess ) หรือเงินเซส สนับสนุนซื้อเครื่องรีดยาง ให้เกษตรกรทั้งภาคใต้ อีสานและตะวันออก ทำยางแผ่นจากปัจจุบันทำยางก้อนถ้วย ที่มีราคาถูกกว่า
“เงินที่จะใช้ ไม่มากอยู่ในเกณฑ์ที่กยท. พอจะจ่ายได้ โดยสามารถสนับสนุนสหกรณ์ หรือกลุ่มเกษตรกร ซื้อเครื่องรีดขนาดใหญ่ บริการให้กับสมาชิกและเกษตรกรในบริเวณใกล้เคียง หลังจากรีดยางแล้วเกษตรกรสามารถนำยางกลับไปตากที่บ้านได้ วิธีการนี้จะทำให้ยางขายได้แพงกว่ายางก้อนถ้วยที่นำไปทำยางแท่ง “
รายงานจากการยางแห่งประเทศไทย (กยท.) แจ้งว่า ราคายางปิดตลาดวันที่ 15 มี.ค. 2567 ปิดราคาสูงสุดที่ตลาดนครศรีธรรมราช ประเภทยางแผ่นรมควันชั้น 3 ที่กิโลกรัมละ 92 บาท ยางแผ่นดิบ 82.15 บาท และน้ำยางสด78 บาท
ทั้งนี้กยท. ได้วิเคราะห์ แนวโน้ม สถานการณ์ราคายางในเดือน มี.ค. มีโอกาสพักฐาน ก่อนที่จะปรับขึ้นต่อ การต่อในแนวโน้มขาขึ้น โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากที่ สมาคมผู้ผลิตรถยนต์ยุโรปรายงานว่ายอดขายรถยนต์ในยุโรปปรับตัวเพิ่มขึ้นในเดือนม.ค. โดยได้รับอานิสงส์ ความต้องการรถไฟฟ้าที่ฟื้นตัว ขณะที่ราคาน้ำมันดิบมีแนวโน้มผันผวนในระดับสูง ขณะที่จีนมีความต้องการน้ำมันมากขึ้น จากการฟื้นตัวของการเดินทางที่เพิ่มสูงขึ้นในช่วงตรุษจีนที่ผ่านมา
นอกจากนี้สมาคมผู้ผลิตยานยนต์ของจีนเปิดเผยว่าการส่งออกรถยนต์ของจีนเพิ่มขึ้น 57.9% สูงสุดเป็นประวัติการณ์ เนื่องจากบรรดาผู้ผลิตรถยนต์จีนขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศนับเป็นการขยายตัวอย่างมากอีกครั้งเป็นการ การขยายตัวขึ้นอย่างก้าวกระโดด ที่ได้รับแรงหนุนจากการส่งออกรถยนต์พลังงานใหม่ที่พุ่งขึ้นสูงถึง 77.6%
และการส่งออกรถไฟฟ้าที่มีมอเตอร์ไฟฟ้าขับเคลื่อนเพียงอย่างเดียวโดยที่ไม่มีเครื่องยนต์ขยายตัวถึง 80.9% ในขณะที่การส่งออกรถยนต์ไฟฟ้าไฮบริดเพิ่มขึ้น 47.8%
ปัจจัยที่จะส่งผลให้ราคายางสูงขึ้น ยังมีค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลง สต๊อกยางโดยรวมปรับตัวสูง โดยสต๊อกยางล่วงหน้าเซี่ยงไฮ ในเดือนมีนาคมแบ่งเป็นสต๊อกยางธรรมชาติอยู่ที่ 209,860 ตันเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน 13,070 ตันคิดเป็น6.64% และสองสต๊อกอย่างSTR 20 อยู่ที่ระดับ 110,779 ตันลดลงจากเดือนก่อน 7,661 ตันหรือ 7.42% ส่วนสต๊อกยางญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 10 ธ.ค. 25566 อยู่ที่ 7,695 ตันปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน 1,455 ตันคิดเป็น 23.31%
ที่มา : กรุงเทพธุรกิจ |