เมื่อวันที่ 29 มกราคม นายอัทธ์ พิศาลวานิช นักวิชาการอิสระและผู้เชี่ยวชาญเศรษฐกิจระหว่างประเทศ ที่ปรึกษาบริษัท อินเทลลิเจนท์ รีเสิร์ช คอนซัลแตนท์ (ไออาร์ซี) จำกัด เปิดเผยว่า ผลวิเคราะห์กรณีปรากฏการณ์เอลนีโญ ที่มีผลกระทบต่อชาวนาและเกษตรกร พบว่า คาดการณ์ปี 2567 โลกร้อนขึ้น ผลต่อเนื่องจากปริมาณน้ำทำการเกษตรลดลง ตั้งแต่ปี 2566 เป็นต้นมา อาจถึงปี 2575 ส่งต่ออุณหภูมิโลกเพิ่มขึ้นจาก 0.8 องศาเซลเซียส เป็น 1.2 องศาเซลเซียส เฉพาะปี 2567 การเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิโลกเพิ่มมากกว่า 1 องศาเซลเซียส ส่งผลปริมาณน้ำของไทยปี 2567 ลดลง 4,025 ล้านลูกบาศก์เมตร จากปี 2566 ตามข้อมูลสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ประเมินล่าสุดกลางเดือนมกราคมที่ผ่านมา ทำให้น้ำใช้เพื่อการเกษตรลดลง ภาคเกษตรต้องการน้ำมากสุดคิดเป็น 80% ของการใช้น้ำทั้งหมดของประเทศ ส่งผลกระทบต่อต้นทุนการผลิตภาคเกษตรที่สูงอยู่แล้ว ยิ่งสูงขึ้นอีก กระทบต่อชาวนาและเกษตรกรอื่นจะอยู่ยากลำบากมากขึ้นจากต้นทุนที่เพิ่มขึ้นและรายได้ลดลง จนเกิดหนี้ครัวเรือนที่เพิ่มต่อเนื่อง
นายอัทธ์กล่าวต่อว่า บริษัท IRC คาดปี 2567 ปริมาณน้ำฝนลดลง 5-15% ตามความรุนแรง จากปี 2566 เอลนีโญ จะทำให้ผลผลิตข้าวเปลือกไทยลดลงมากสุดในอาเซียน ปี 2567 บริษัทผลผลิตข้าวเปลือกไทยลดลงมากสุด 3.5 ล้านตัน และ 5.1 ล้านตัน ในปี 2568 ซึ่งลดลงมากกว่าผลผลิตข้าวเปลือกของอินโดนีเซีย เวียดนามและเมียนมา ทั้งนี้ เมื่อเทียบ 5 พืชเศรษฐกิจไทย คือ ข้าว ยางพารา ปาล์มน้ำมัน ทุเรียน และมันสำปะหลัง ประเมินว่าข้าว ปาล์มน้ำมัน ทุเรียน เป็น 3 กลุ่มเสี่ยงผลผลิตลดลงมากสุดในปี 2567 หากอุณหภูมิเพิ่มขึ้น 1% และปริมาณน้ำฝนลดลง 1% โดยคาดว่าผลผลิตข้าวเปลือกลดลง 1.3 ล้านตัน ปาล์มน้ำมันลดลง 6 แสนตัน และทุเรียนลดลง 4.9 แสนตัน ซึ่งเอลนีโญส่งผลให้อัตราการผลผลิตข้าวเปลือกลดลง 3 ปีติดต่อแล้ว ตั้งแต่ปี 2564 จากบวก 10.9% เป็นลบ 9.2% ในปี 2567 ซึ่งจะส่งผลต่อปริมาณส่งออกข้าวไทยลดลง ราคาข้าวไทยแพงสุด สต๊อกข้าวโลกลดลงต่อ 3-4 ปี
โดยปี 2567 เอลนีโญทำให้ปริมาณการผลิตข้าวเปลือกลดลง ส่งผลต่อส่งออกลดลงจาก 8.5 ล้านตัน ปี 2566 เหลือ 7.2 ล้านตัน ในปี 2567 แต่ยังเป็นประเทศส่งออกข้าวอันดับสองของโลก รองจากอินเดีย คาดส่งออกปีละ 22 ล้านตัน น่ากังวลคือทิศทางราคาข้าวไทยในตลาดโลกอาจแพงสุด เฉลี่ยอยู่ที่ 612 เหรียญต่อตัน เวียดนามเฉลี่ย 553 เหรียญต่อตัน อินเดียเฉลี่ย 528 เหรียญต่อตัน ซึ่งสต๊อกข้าวโลกลดลง 4 ปีติดต่อกัน คาดว่าสต๊อกข้าวลดลง 1% ดันราคาข้าวโลกเพิ่ม 4% และราคาข้าวโลกปี 2567 อยู่ช่วง 610-670 เหรียญ/ตัน
ขณะเดียวกันเอลนีโญ ส่งผลต่อรายได้ ทุเรียนและปาล์ม ลดลงมากสุด แต่รายได้ข้าว ยางพารา ติดลบมากสุด รายได้ต่อไร่ของชาวนา และชาวสวนยางพารา ติดลบมากสุด คือหายไป 971 บาท/ไร่ และหายไป 3,315 บาท/ไร่ ตามลำดับ แต่รายได้ของชาวสวนทุเรียนลดลงมากสุด 21,932 บาท/ไร่ และปาล์มน้ำมัน 3,505 บาท/ไร่ ซึ่งจะส่งผลต่อหนี้ครัวเรือน โดยข้าว ยาง ปาล์ม หนี้เพิ่มมากสุด ทำให้ครัวเรือนเกษตรกรเป็นหนี้เพิ่มขึ้น โดยครัวเรือนชาวนามีหนี้เพิ่มมากสุดอยู่ที่ 298,530 บาท/ครัวเรือน ตามด้วยยางพารา 271,700 บาท/ครัวเรือน และปาล์ม มันสำปะหลังและทุเรียน ตามลำดับ ดังนั้น รัฐบาลต้องเร่งบริหารจัดการ และหาแหล่งน้ำเพื่อเกษตรกรโดยด่วน เช่น ระบบ Smart Water โดยใช้เทคโนโลยีน้ำน้อย ทำให้ดินชุ่มชื่น และโครงการ 1 น้ำ 1 เกษตรกร เป็นต้น
“ในภาพรวมจากต้นทุนและภาระที่เพิ่มขึ้นจากเอลนีโญ ส่งผลให้หนี้ครัวเรือนเกษตรกรเพิ่มขึ้น 8% คิดเป็นประมาณ 8 หมื่นล้านบาท ทำให้หนี้ครัวเรือนเกษตรกรถ้าไม่มีเอลนีโญ อยู่ที่ 11.6 ล้านล้านบาท เป็น 11.7 ล้านล้านบาทหากเจอมีเอลนิโญรุนแรง ” นายอัทธ์กล่าว
ที่มา : มติชน
สมาคมน้ำยางข้นไทย 60 ถ.โชติวิทยะกุล 3 ต.หาดใหญ่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา 90110 Tel. 0 7455 9508 , 09 5065 2772 E-mail tla.latex@gmail.com, contact@tla-latex.org