“วิกฤตสภาพอากาศในมิติที่เรากำลังเผชิญอยู่นี้ต้องการมาตรการรับมือที่แข็งขันที่มนุษย์เราจำเป็นต้องร่วมกันควบคุมกิจกรรมต่างๆ โดยเฉพาะการสร้างก๊าซเรือนกระจกซึ่งนักวิทยาศาสตร์บ่งชี้ว่าคือตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดภาวะโลกร้อน อย่างไรก็ตาม ประชาคมโลกมีความก้าวหน้าในเรื่องการรับมือกับภัยคุกคามสภาพอากาศจากการที่มีการทำข้อตกลงปารีส ซึ่งมีเป้าหมายควบคุมอุณหภูมิโลกให้เพิ่มขึ้นไม่เกิน 2 องศาเซลเซียส โดยพยายามให้เพิ่มขึ้นที่ระดับเพียง 1.5 องศาเซลเซียสให้ได้ ดังนั้น นี่จึงเป็นช่วงเวลาที่นานาประเทศในโลกต้องทำให้คำมั่นสัญญากลายเป็นการลงมือทำ เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นรูปธรรม” อุปทูตอียูกล่าว
3 ข้อพันธกิจเตรียมนำเสนอใน COP28 ปลายปีนี้
ก้าวต่อไปที่สำคัญของความพยายามระดับโลกในการรับมือกับปัญหาสภาพอากาศคือ การประชุม COP28 ที่สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์จะเป็นเจ้าภาพจัดขึ้นระหว่างวันที่ 30 พ.ย.ถึง 12 ธ.ค. 2566 ซึ่ง อียูจะเดินหน้าสนับสนุนข้อเสนอเกี่ยวกับ “พันธกิจการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานโลก” (Global Energy Transition Pledge) ซึ่งมี 3 องค์ประกอบสำคัญที่เกี่ยวโยงกัน นั่นคือ
- เพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานหมุนเวียนโดยเฉลี่ย 3 เท่าระหว่างปีนี้และปี 2030
- เพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานอัตราเฉลี่ยรายปีในช่วงทศวรรษนี้เป็นสองเท่า
- ทยอยยกเลิกการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลอย่างสิ้นเชิงก่อนปีค.ศ. 2050
เป้าหมายของอียูและเส้นทางสู่ซีโร่คาร์บอน
อียูมีนโยบายที่เรียกว่า European Green Deal ซึ่งสอดคล้องกับพันธกิจของข้อตกลงปารีส ที่มีจุดมุ่งหมายสูงสุดในการก้าวสู่การเป็น ทวีปที่มีความเป็นกลางทางสภาพอากาศ (climate neutral continent) ภายในปี 2050
ทั้งนี้ สำหรับอียู การปล่อยก๊าซเรือนกระจกหรือก๊าซโลกร้อนเป็นศูนย์ภายในปี 2050 นั้นเป็นพันธกิจที่มีความผูกพันตามกฎหมาย เกิดจากกฎหมายสภาพอากาศยุโรป หรือ European Climate Law ที่ใช้มาตั้งแต่ปี 2021 ภายใต้กฎหมายดังกล่าว มีการกำหนดเป้าหมายใหม่ในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงอย่างน้อย 55% (เมื่อเทียบกับปี 1990) ภายในปี 2030 และพร้อมๆกับกฎหมายดังกล่าว มีการนำเสนอแพ็คเกจที่ เรียกว่า Fit for 55 ที่มีความริเริ่มต่างๆมากมายที่จะชักจูงทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องให้มุ่งไปสู่เป้าหมายเดียวกัน เช่น การขยายขอบเขตให้ภาคธุรกิจใหม่ๆสามารถสมัครเข้าเทรดคาร์บอน ความริเริ่มที่จะเพิ่มการใช้พลังงานหมุนเวียน การเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้พลังงาน และการนำเสนอระบบขนส่งมวลชนที่สร้างมลภาวะน้อยลงให้เร็วขึ้น ซึ่งนั่นหมายถึงขนส่งมวลชนไฟฟ้า และการพัฒนามาตรฐานใหม่สำหรับการใช้พลังงานอย่างยั่งยืนในอุตสาหกรรมการบินและการขนส่งทางทะเล
นอกจากนี้ อียูยังชัดเจนในการบรรลุเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ซึ่งเป็นหนึ่งในก๊าซโลกร้อนในทุกภาคส่วนอุตสาหกรรม ไม่ว่าจะเป็นภาคการผลิต พลังงาน การขนส่ง หรือการเกษตร โยอียูมี European Green Deal ดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้นเป็นโร้ดแมปซึ่งประกอบด้วยแผนดำเนินการต่างๆ 50 มาตรการ ที่ไม่เพียงตั้งเป้าในด้านสภาพอากาศและสิ่งแวดล้อม แต่ภาคธุรกิจยังสามารถควบคุมต้นทุนการผลิต และมีประสิทธิภาพในการแข่งขันได้ด้วย
“นโยบาย European Green Deal ของเรามีเป้าหมายสำคัญที่ต้องการให้ทุกฝ่ายมั่นใจว่า จะมีโอกาสใหม่ๆสำหรับทุกๆคน เราสามารถช่วยประชากรกลุ่มเปราะบางด้วยการแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำไม่เท่าเทียม การเข้าไม่ถึงแหล่งพลังงาน และขณะเดียวกันก็สร้างความแข็งแกร่งให้ภาคเอกชนสามารถแข่งขันได้” อุปทูตอียูอธิบายเพิ่มเติมว่า ในขณะที่ลดการปล่อยก๊าซที่เป็นมลพิษ นโยบายของอียูจะสร้างกลยุทธ์การเติบโตใหม่ๆควบคู่กันไป มี แผนการเปลี่ยนผ่านการใช้พลังงานไปสู่พลังงานสะอาด (green transition) ที่จะช่วยยกระดับเศรษฐกิจและสังคมได้ด้วยวิธีการเหล่านี้
- การใช้ยวดยานพาหนะที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ระบบขนส่งมวลชนที่ใช้เชื้อเพลิงสะอาด ไม่สร้างมลพิษ เข้าถึงได้ ราคาประหยัดสำหรับทุกคน
- สร้างตลาดสำหรับเทคโนโลยีสะอาดและผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับโลกและสิ่งแวดล้อม ซึ่งครอบคลุมทั้งห่วงโซ่คุณค่า (value chain) ในธุรกิจพลังงานและการขนส่ง รวมไปถึงธุรกิจก่อสร้าง-ซ่อมแซมและต่อเติม
- เปลี่ยนจากรูปแบบเศรษฐกิจเส้นตรง (linear economy ซึ่งเป็นการนำทรัพยากรมาผลิตสินค้า และเมื่อเลิกใช้แล้วจะถูกทิ้งไม่นำกลับมาใช้อีก ซึ่งส่งผลกระทบต่อโลก ให้เป็นเศรษฐกิจหมุนเวียน (circular economy) ที่มีการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด
- เพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานสะอาดและใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
- สร้างระบบอาหารยั่งยืน (sustainable food system) อียูมีมาตรการที่เรียกว่า Farm to Fork (จากเรือกสวนไร่นาสู่โต๊ะอาหาร) ที่จะสร้างความมั่นใจว่าเกษตรกรได้รับความเป็นธรรมขณะที่ผู้บริโภคก็ได้อาหารที่สะอาด มีประโยชน์ต่อสุขภาพ และกระบวนการผลิตก็เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
- บูรณะซ่อมแซมและสร้างบ้านพักอาศัยที่ประหยัดพลังงาน ป้องกันสภาพอากาศที่หนาวหรือร้อนรุนแรง และแก้ปัญหาการไม่สามารถเข้าถึงพลังงาน
- การฟื้นฟูธรรมชาติ อนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ ป่าไม้ คุณภาพดิน เพื่อให้สามารถดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และช่วยให้สิ่งแวดล้อมสามารถอยู่รอดได้ดีท่ามกลางสภาพภูมิอากาศที่ปรวนแปร
อุปทูตอียูระบุว่านโยบาย EU Green Deal ที่กล่าวมาข้างต้นนี้ เกิดขึ้นบนความสำเร็จของ EU Emission Trading Scheme (ETS) ซึ่งเป็นระบบซื้อขายสิทธิในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เป็นกลไกทางการตลาดรูปแบบหนึ่ง และทำให้เกิดตลาดซื้อขายคาร์บอนขนาดใหญ่ที่สุดและเป็นแห่งแรกของโลก ซึ่งเป็นสิ่งที่พิสูจน์ให้เห็นว่าการลดปล่อยก๊าซโลกร้อนนั้นสามารถทำได้ด้วยการใช้กลไกที่คุ้มค้ากับการลงทุน
แต่หลังจากความสำเร็จของ ETS แล้ว อียูเดินหน้าต่อยอดกลไกนี้ให้เติบโตต่อไปด้วยการขยายขอบเขตครอบคลุมธุรกิจใหม่ อาทิ การขนส่งทางเรือ และด้วยการให้ความสำคัญกับธุรกิจที่สร้างมลภาวะมากที่สุด ขณะเดียวกันอียูก็ได้นำมาตรการ Carbon Border Adjustment Mechanism หรือ CBAM มาใช้ หรือที่เรียกว่า มาตรการปรับราคาคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดน กำลังจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2566 เป็นต้นไป เป้าหมายเพื่อบริหารจัดการการสร้างคาร์บอนไดออกไซด์ในกระบวนการผลิตสินค้าในประเทศที่สามที่ส่งออกมายังตลาดในอียู ด้วยการสร้างความเท่าเทียมต้นทุนราคาคาร์บอนระหว่างสินค้าภายในอียูที่มีการบังคับใช้ระบบการซื้อขายใบอนุญาตปล่อยก๊าซเรือนกระจก (ETS) กับสินค้าที่ผลิตภายนอกอียูผ่านการปรับราคาคาร์บอน เพื่อเร่งให้ประเทศคู่ค้าของอียูลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างจริงจัง
ความร่วมมือกับไทยสู่ Net Zero
เพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับ CBAM และผลกระทบที่จะเกิดขึ้น คณะผู้แทนอียูประจำประเทศไทยร่วมกับองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (TGO) และกระทรวงพาณิชย์จะร่วมกันจัดสัมมนาเกี่ยวกับเรื่อง CBAM ในวันที่ 28 กันยายนนี้ เพื่อให้ภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมของไทยสามารถปรับตัวเพื่อให้สอดรับกับกฎเกณฑ์ใหม่ของอียู เช่นเรียนรู้วิธีการคำนวณ และการแจ้งสำแดงรายละเอียด ซึ่งในวันที่ 1 ต.ค.นี้จะเป็นการเริ่มต้นช่วงแห่งการปรับตัวและเปลี่ยนผ่าน (transitional period) ซึ่งจะครอบคลุมตั้งแต่ 1 ต.ค.2566 ถึงสิ้นปี 2568
“ในปัจจุบันถือว่า สินค้าที่อยู่ในกลุ่มที่ครอบคลุมโดยกฎเกณฑ์ CBAM อาทิ ซีเมนต์ เหล็กและเหล็กกล้า อะลูมิเนียม ปุ๋ย ไฟฟ้า และไฮโดรเจน เป็นสินค้าที่ไทยไม่ได้มีการส่งออกไปยังอียูมากนัก ดังนั้น ผลกระทบที่ไทยจะได้รับจากการบังคับใช้ CBAM จึงถือว่าน้อยมาก” อุปทูตอียูกล่าว
อย่างไรก็ตาม อุปทูตอียูได้กล่าวเตือนถึงกฎเกณฑ์ใหม่ของอียูเกี่ยวกับการบุกรุกทำลายป่า (Deforestation Regulation) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของนโยบาย EU Green Deal ให้ความสำคัญเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์สินค้าต่างๆที่วางจำหน่ายในตลาดอียู จะต้องไม่มีความเกี่ยวข้องกับการตัดไม้ทำลายป่าหรือทำให้ป่าเสื่อมสภาพ
เกี่ยวกับประเด็นนี้ อียูกำลังร่วมงานใกล้ชิดหน่วยงานรัฐบาลของไทยเพื่อการบังคับใช้กฎเกณฑ์ดังกล่าวให้เป็นไปอย่างราบรื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ยางพาราของไทย เนื่องจากไทยเป็นประเทศผู้ผลิตยางพารารายใหญ่ที่สุดของโลก ส่งออกไปยังอียูมูลค่ามากกว่า 2,000 ล้านยูโร หรือประมาณ 75,000 ล้านบาท (ข้อมูล ณ ปี 2565)
“เราต้องการให้กระแสการค้าระหว่างไทย-อียูเป็นไปด้วยดีไม่มีติดขัด ขณะเดียวกันก็สามารถอนุรักษ์ผืนป่าไปด้วย เพราะนี่จะเป็นอีกช่องทางสำคัญในการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลก”
ที่มา: ฐานเศรษฐกิจ