สรท.มองส่งออกปี 66 แผ่ว โตเพียง 2- 3%ผลจากเศรษฐกิจโลกชะลอตัว เงินบาทผันผวน ราคาพลังงานสูง สงครามรัสเซีย-ยูเครนยืดเยื้อ ชี้สินค้ากลุ่มอาหารยังเป็นพระเอก ด้านกรอ.พาณิชย์ เตรียมบุก 3 ตลาดใหม่พยุงยอดส่งออก
การส่งออกของไทยเริ่มเห็นภาพชะลอตัวลงที่ชัดเจนแล้วหลังจากมูลค่าการส่งออกในเดือน ต.ค.-พ.ย.2565 ติดลบ 2 เดือน ติดต่อกัน ซึ่งทำให้หลายฝ่ายกังวล การส่งออกในปี 2566 ที่มีแนวโน้มชะลอตัวอย่างชัดเจนและจำเป็นต้องหาแผนรับมือเพื่อพยุงการส่งออกที่เป็นเครื่องยนต์หลักในการฟื้นเศรษฐกิจ
นายชัยชาญ เจริญสุข ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) เปิดเผยว่า สรท.คาดการณ์การแนวโน้มภาพรวมการส่งออกไทยปี 2566 จะขยายตัว 2-3% โดยประเมินจากการส่งออกปี 2565 ที่การส่งออกเชิงปริมาณไม่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ดูจากจำนวนตู้คอนเทนเนอร์ที่ใช้ขนส่งปี 2565 ใกล้เคียงปี 2564 หากแต่เป็นราคาสินค้าจากวัตถุดิบและน้ำมันที่ปรับขึ้นและอานิสงค์ของค่าเงินบาทอ่อนค่ามากกว่าค่าเงินของคู่แข่งในตลาดต่างประเทศ
ทั้งนี้ ปี 2566 ราคาน้ำมันประเมินต่ำกว่าปี 2565 โดยอยู่ระดับ 75-85 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และค่าเงินบาทจะอยู่ 33-35 บาทต่อดอลลาร์ โดยอาจแข็งค่ากว่าค่าเงินของคู่แข่งทำให้ปี 2566 จะได้รับแรงกดดันจากราคาที่มีแนวโน้มลดลงตามราคาน้ำมันและวัตถุดิบ
ดังนั้นสินค้าอาหารยังมีศักยภาพต่อเนื่องจากภาวะการขาดแคลนอาหาร เพราะพื้นที่สงครามในยูเครนยังไม่เพาะปลูกไม่ได้ และยังไม่มีแนวโน้มเจรจาสันติภาพ สำหรับสินค้าอุตสาหกรรมอื่นแปรผันตามภาวะเศรษฐกิจแต่ละประเทศไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ ซึ่งปัญหาขาดแคลนชิปเริ่มคลี่คลายส่งผลดีต่อการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ สินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าและชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์
ทั้งนี้ ปัจจัยที่มีผลการค้าโลกในปี 2566 ประกอบด้วย
1.การชะลอตัวทางเศรษฐกิจ ที่ส่งผลให้การค้าโลกจะเติบโตได้ในระดับต่ำที่คาดการณ์ 2.6-2.7% ผลกระทบของภาวะเงินเฟ้อสูง ซึ่งส่งผลให้ธนาคารกลางใช้นโยบายการเงินเข้มงวด แม้ว่าการดำเนินนโยบายจะลดระดับลงมา แต่คาดว่ายังคงดำเนินนโยบายนี้ต่อในปี 2566
2.ค่าเงินบาท ที่ผันผวนปรับตัวในทิศทางแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็วกว่าค่าเงินของคู่แข่ง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อส่วนต่างราคาของผู้ประกอบการส่งออกที่อาจหายไป
3.ต้นทุนที่สูงขึ้น ของผู้ประกอบการส่งออก อาทิ ค่าไฟฟ้า(FT)และค่าแรง เป็นต้นที่มากกว่าประเทศอื่นๆที่เป็นผู้ส่งออก
4.ปัญหาต้นทุนวัตถุดิบขาดแคลนและราคาผันผวน อาทิ ราคาสินค้า และพลังงานที่ยังทรงตัวในระดับสูงจากผลกระทบทางตรงและทางอ้อมสงครามรัสเซีย-ยูเครน ที่ยังยืดเยื้อ
5.สถานการณ์การขาดแคลนชิปเริ่มคลี่คลายในช่วงไตรมาส3และไตรมาส4ของปี2565แต่ยังคงต้องเฝ้าติดตามอย่างใกล้ชิดเนื่องจากความไม่แน่นอนของการดำเนินมาตรการZero Covidของจีนเป็นต้น
อย่างไรก็ตาม สรท.มองว่า ปี 2566 สินค้าส่งออกมีทั้งที่เป็นโอกาสและสินค้าที่ต้องออกแรงมากขึ้น โดยสินค้าที่มีโอกาสในปี 2566 อาทิ สินค้ากลุ่มอาหาร น้ำตาล อัญมณี เครื่องประดับ ยานยนต์และส่วนประกอบ
ขณะเดียวกันกลุ่มสินค้าดังกล่าวยังคงมีโอกาสขยายการส่งออกแต่ต้องออกแรงและโฟกัสตลาดศักยภาพลำดับรองที่เริ่มขยายตัวและฟื้นตัวจากโควิด อาทิ ตะวันออกกลาง
ส่วน สินค้าที่ต้องออกแรงมากขึ้นในปี 2566 ประกอบด้วย
1.ยางพารา อันเนื่องมาจากการดำเนินมาตรการ Zero Covid ของจีนทำให้ล็อคดาวน์หลายพื้นที่ ส่งผลให้ยางรถยนต์ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์จากยางพาราได้รับผลกระทบของยอดคำสั่งซื้อที่ชะลอตัว จากมาตรการดังกล่าวยังอาจดำเนินการต่อไปจนถึงไตรมาส 1 ปี 2566
2.เม็ดพลาสติกและเคมีภัณฑ์ เนื่องจากเป็นสินค้าวัตถุดิบที่ส่งออกให้จีนเป็นหลักทำให้ได้รับผลกระทบจากมาตรการZero Covidของจีนและ การดำเนินนโยบายของจีน Dual Circulation ที่มุ่งเน้นการพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีการผลิตในประเทศลดการพึ่งพาการนำเข้าจากต่างประเทศมากขึ้น ประกอบการจีนได้มีการตั้งโรงงานอุตสาหกรรมด้านเคมีขนาดใหญ่ในพื้นที่การผลิตทำให้การส่งออกสินค้าและสินค้าต่อเนื่องในกลุ่มดังกล่าวอาจต้องออกแรงมากขึ้นหรืออาจต้องลองมองหาตลาดใหม่ในปีหน้า
3.สิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม เริ่มชะลอตัวลงในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2565 และต่อเนื่องถึงต้นปี 2566 ผลจากเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าหลัก เช่น สหรัฐ และสหภาพยุโรป เริ่มชะลอตัวและมีโอกาสหดตัวสูงจากผลกระทบอัตราเงินเฟ้อที่ยังสูงกระทบกำลังซื้อผู้บริโภค
ทั้งนี้ สิ่งที่ต้องเร่งทำ คือ การรุกตลาดใหม่และรักษาตลาดเดิม โดยต้องเร่งเปิดตลาดกลุ่มประเทศเกิดใหม่ทั้งเอเชียใต้ ตะวันออกกลาง อาเซียน CLMV โดยเฉพาะตะวันออกกลาง เช่น ซาอุดิอาระเบีย หลังจากฟื้นความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างกัน
นอกจากนี้ต้องสร้างการรับรู้ของสินค้า สร้างความสัมพันธ์ทางการค้าเชิงลึกกับประเทศคู่ค้าใหม่ Customization สินค้าให้สอดคล้องประเทศปลายทางมากขึ้น และต้องผลักดันการส่งออก
“สรุปต้องมีการปรับตัว “2เพิ่ม2ลด” คือ เพิ่มช่องทางตลาดใหม่ และเพิ่มสภาพคล่องการเงิน ส่วน 2 ลด คือ ลดต้นทุนสินค้า และลดสินค้าคงคลัง เพื่อป้องกันความเสี่ยงต่างๆและเตรียมปรับตัวในปีที่ท้าทาย2566”นายชัยชาญ กล่าว
"จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์" รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า แผนการส่งออกปี 2566 ตั้งเป้าบุกตลาดที่มีศักยภาพเพิ่มยอดการส่งออกจากมาตรการปกติที่กำหนดไว้ล่วงหน้าเป็นกรณีเฉพาะบุก 3 ตลาดใหญ่ที่มีศักยภาพประกอบด้วยตลาดตะวันออกกลาง ตลาดเอเชียใต้ และตลาด CLMV
โดย 3 ตลาดใหญ่ปี 2565 คาดมียอดการส่งออกรวม 1.7 ล้านล้านบาท และปี 2566 จะเพิ่มเป็น 2 ล้านล้านบาท ประกอบด้วย
1.ตลาดตะวันออกกลาง มุ่ง 3 ตลาดใหญ่ซาอุดิอาระเบียสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์และกาตาร์สินค้าเป้าหมายสำคัญ คือ อาหาร ชิ้นส่วนยานยนต์เครื่องปรับอากาศและวัสดุก่อสร้าง เป็นต้น ตั้งเป้าปี 66 เพิ่มตัวเลขส่งออก 3 ประเทศนี้ 20% จาก 8,900 ล้านดอลลาร์ในปี 2565 เป็น 10,300 ล้านดอลลาร์ในปี 2566
2.ตลาดเอเชียใต้ เน้นประเทศสำคัญ 3 ประเทศ คือ อินเดีย บังกลาเทศและเนปาลตั้งเป้าส่งออกปีหน้าใน 3 ประเทศนี้ ตลาดเอเชียใต้ เพิ่ม 10% เพิ่มจากปีนี้ที่ 12,000 ล้านดอลลาร์ เพิ่มเป็น 13,200 ล้านดอลลาร์ ในปี 66 สินค้าสำคัญ เช่น เคมีภัณฑ์ เม็ดพลาสติก ยานยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์ เป็นต้น
3.ตลาด CLMV ประกอบด้วย กัมพูชา ลาว เมียนมาและเวียดนาม ตั้งเป้าส่งออกเพิ่ม 10-15% จาก 28,000 ล้านดอลลาร์ใน 2565 เป็น 33,500 ล้านดอลลาร์ในปี661สินค้าเป้าหมายสำคัญ เช่น วัสดุก่อสร้าง เครื่องใช้ไฟฟ้า เม็ดพลาสติก สิ่งทอ เครื่องนุ่งห่ม
ที่มา : กรุงเทพธุรกิจ |