บมจ. นอร์ทอีส รับเบอร์ หรือ NER แจ้งงบ Q3/65 บริษัทมีกำไรสุทธิที่ 528.88 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 88.58 ล้านบาท คิดเป็น 20.12% จากราคายางพาราที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น และการบริหารจัดการต้นทุนได้อย่างดี มั่นใจปี 2565 โตตามเป้าหมาย พร้อมพัฒนาสินค้าปลายน้ำ เพื่อสร้างการเติบโตที่มั่นคงและยั่งยืนต่อไป
นายชูวิทย์ จึงธนสมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท นอร์ทอีส รับเบอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ NER ผู้ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายยางแผ่นรมควัน ยางแท่ง และยางผสม เพื่อจำหน่ายไปยังผู้ผลิตในอุตสาหกรรมยานยนต์ และกลุ่มผู้ค้าคนกลางทั้งในประเทศและต่างประเทศ เปิดเผยภาพรวมผลการดำเนินงาน สำหรับงวด 3 เดือนสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2565 เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนว่า บริษัทมีกำไรสุทธิที่ 528.88 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 88.58 ล้านบาท คิดเป็น 20.12% โดยมีรายได้จากการขายรวม7,221.53 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 68.47 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราเพิ่มขึ้น 0.96% โดยแบ่งเป็นรายได้จากการขายในประเทศ 4,657.70 ล้านบาท และรายได้จากการขายต่างประเทศ 2,563.68 ล้านบาท เนื่องจากทิศทางราคายางพาราที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในปี 2565 และบริษัทสามารถจัดการต้นทุนขายได้ดี รวมถึงการบริหารจัดการต้นทุนจัดจำหน่ายและมีป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ดีขึ้น ส่งผลให้อัตรากำไรสุทธิเพิ่มสูงขึ้น
สำหรับงวด 9 เดือนสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2565 เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน บริษัทมีกำไรสุทธิที่ 1,379.97 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 134.33 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.78% คิดเป็นกำไรต่อหุ้นเท่ากับ 0.77 บาท ด้านรายได้จากการขายรวม งวด 9 เดือน ปี 2565 บริษัทมีรายได้จากการขายรวม 18,086.35 ล้านบาท ลดลง 319.36 ล้านบาท หรือลดลง 1.74% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน แบ่งเป็นรายได้จากการขายในประเทศ 12,222.89 ล้านบาท หรือคิดเป็น 67.58% ของยอดขายรวม เพิ่มขึ้น 481.82 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 4.10% รายได้จากการขายต่างประเทศ 5,863.46 ล้านบาท หรือคิดเป็น 32.42% ของยอดขายรวม ลดลง 801.18 ล้านบาท หรือลดลง 12.02%
โดยรายได้จากการขายสำหรับงวด 9 เดือนลดลง เนื่องจากผลิตภัณฑ์ยางแผ่นรมควัน (RSS) จากความต้องการและราคายางแผ่นรมควันในตลาดมีความเปลี่ยนแปลงลดลง ส่งผลให้ปริมาณคำสั่งซื้อโดยรวมลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ทั้งนี้ การลดลงของรายได้จากการขายรวมเป็นผลต่างด้านปริมาณลดลงอยู่ที่ 1,875.91 ล้านบาท และผลต่างด้านราคาเพิ่มขึ้นจากราคายางที่ขยับตัวสูงขึ้นอยู่ที่ 1,556.55 ล้านบาท โดยรวมรายได้จากการขายลดลงเมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน
สำหรับภาพรวมธุรกิจของปีนี้บริษัทยังคงเป้าหมายยอดขายปีนี้ที่ 4.6 แสนตัน จากราคายางพาราที่ปรับขึ้น นอกจากนี้ยอดส่งออกสินค้ามีความคล่องตัวดีขึ้น จากสถานการณ์ตู้คอนเทนเนอร์ที่ดีขึ้น ประกอบกับมีปริมาณออเดอร์ใหม่ๆเพิ่มขึ้น จากลูกค้ารายใหม่เพิ่มขึ้น อาทิ อินเดีย ,ฮ่องกง, สิงคโปร์ และจีน เป็นต้น
ด้านแผ่นปูรองปศุสัตว์ปัจจุบันได้ติดตั้งเครื่องจักรและเริ่มการผลิตแล้ว ซึ่งที่ผ่านมาบริษัทได้ทำการตลาดและได้ส่งสินค้าทดลองให้แก่ลูกค้าในต่างประเทศเรียบร้อยแล้ว และจะเริ่มส่งสินค้าออกไปต่างประเทศในไตรมาส 1/2566 ตามการผลิตและขายที่เพิ่มขึ้น คาดว่าจะเพิ่มความสามารถในการทำกำไรให้แก่บริษัท เนื่องจากเป็นสินค้าที่มีมาร์จิ้นสูง โดยมองว่าความต้องการแผ่นปูรองนอนปศุสัตว์ในอุตสาหกรรมมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง
นอกจากนี้ในปี 2566 คาดว่าจะเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่เพิ่มขึ้น โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างการวิจัยและพัฒนาสินค้า ซึ่งจะทำให้ยอดขายสินค้าปลายน้ำเติบโตมากขึ้นกว่าที่ประมาณการไว้ ทั้งนี้ บริษัทฯจะมุ่งมั่นดำเนินงานตามแผนกลยุทธ์ควบคู่กับการบริหารงานเชิงรุก เพื่อสร้างการเติบโตที่มั่นคงและยั่งยืนต่อไป
ที่มา : https://www.ryt9.com |