เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2568 นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) โดย นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และนายผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย ร่วมแถลงข่าว โดยที่ประชุมกล่าวถึง สงครามการค้ารอบใหม่เริ่มแล้วที่เม็กซิโก แคนาดา และจีน ท่ามกลางการตอบโต้ โดยสหรัฐฯประกาศจะขึ้นอัตราภาษีนำเข้าต่อกลุ่มประเทศเป้าหมาย ทั้งต่อเม็กซิโกและแคนาดาในอัตรา 25%และจีนในอัตรา 10% ซึ่งจะส่งผลลบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจในปี 2568 และจะยิ่งส่งผลกระทบมากขึ้นในปี2569 นอกจากนี้ยังผลักดันนโยบายเร่งด่วนผ่านการใช้คำสั่งของฝ่ายบริหาร (ExecutiveOrder) รวมถึงนโยบายที่เคยหาเสียงไว้ครอบคลุมทั้งประเด็นการค้าที่ไม่เป็นธรรมการจัดการคนเข้าเมือง และการถอนตัวจากข้อตกลงปารีส เป็นต้น ความขัดแย้งทางการค้ากดดันสินค้าจากต่างชาติเข้ามาแย่งตลาดและกระทบต่อภาคการผลิตของไทย สินค้าต่างประเทศที่ล้นตลาดจากปัญหาสงครามการค้าและการแยกขั้ว (De-coupling)ทะลักเข้ามาในประเทศ ซึ่งส่งผล กระทบต่อการผลิตและการจ้างงาน จากการศึกษาผลกระทบดังกล่าวตามข้อเสนอในสมุดปกขาวของ กกร. โดยกระทรวงพาณิชย์พบว่า กลุ่มสินค้าส าคัญที่ได้รับผลกระทบมาก เช่น เหล็ก พลาสติก เครื่องใช้ไฟฟ้า ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เครื่องนุ่งห่ม แก้วและกระจกเครื่องสำอาง เป็นต้น เศรษฐกิจไทยปี2568 มีแนวโน้มขยายตัวจำกัด การกีดกันทางการค้าที่รุนแรงและทิศทางค่าเงินบาทที่แข็งค่าอย่างต่อเนื่องเป็นความท้าทายต่อการส่งออก ส่วนภาคอุตสาหกรรมบางสาขาเผชิญการแข่งขันจากสินค้าต่างชาติขณะที่อุปสงค์ภายในประเทศยังอ่อนแอ จึงอาจเป็นอย่างยิ่งในการวางแนวทางเพื่อลดผลกระทบทั้งในระยะสั้นและในระยะยาว โดยใช้ประโยชน์จากกระแสการแยกขั้วของ SupplyChain ดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ (FDI) ซึ่งในปี ที่ผ่านมาการขอรับการส่งเสริมการลงทุนสูงถึง1.14 ล้านล้านบาทสูงสุดในรอบ 10 ปีนอกจากนี้ยังต้องเร่งท าข้อตกลงทางการค้าเพิ่มเติมจาก FTAไทย-EFTA ที่เพิ่งส าเร็จ เพื่อเสริมความสามารถในการแข่งขันของสินค้าไทยเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน
ที่ประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ได้หารือแนวทางการเตรียมความพร้อมรับมือกับผลกระทบจากนโยบายสหรัฐฯ โดยเฉพาะมาตรการปรับขึ้ นภาษีนำเข้าสินค้าที่สหรัฐฯ ที่เริ่มมีการประกาศบังคับใช้กับเม็กซิโก แคนาดา และจีนแล้ว ซึ่งประเทศคู่กรณีดังกล่าวได้ส่งสัญญาณตอบโต้ด้วยมาตรการทางภาษีและมาตรการทางการค้ากลับสหรัฐฯ ทำให้การค้าโลกได้รับแรงกดดันจากสถานการณ์ดังกล่าว ขณะเดียวกันสินค้าจีนที่ไม่สามารถส่งออกไปยังตลาดสหรัฐฯอาจจะไหลทะลักกลับมาที่ประเทศไทยและประเทศคู่ค้าของไทย ทำให้เกิดการแข่งขันด้านราคาที่รุนแรงขึ้น ดังนั้น กกร. จึงเสนอแนวทางเตรียมความพร้อมรับมือทั้งผลกระทบจากทางตรงและทางอ้อม ดังนี้ 1. การเจรจาระดับรัฐเพื่อป้องกันและบรรเทาการใช้มาตรการทางการค้าจากสหรัฐฯ รวมทั้งสร้างความร่วมมือกับประเทศในอาเซียนเพื่อเสริมสร้างเศรษฐกิจร่วมกัน 2. การสนับสนุนในด้านกฎหมาย กฎระเบียบการค้า เพื่อช่วยเหลือภาคเอกชนที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการทางการค้าของสหรัฐฯ 3. การบูรณาการเพื่อช่วยเหลืออุตสาหกรรมภายในประเทศและการปฏิรูปกฎหมายเพื่อรักษาขีดความสามารถในการแข่งขัน 4. การใช้มาตรการทางการค้าเพิ่มเติม นอกเหนือจากมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด(Anti-Dumping :AD) ปรับลดระยะเวลาการไต่สวนการใช้มาตรการทางการค้า และการใช้มาตรการควบคุมการน าเข้าตาม พ.ร.บ.การส่งออกไปนอกและการนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งสินค้า พ.ศ.2522 5. การควบคุมการตั้งหรือขยายโรงงาน รวมทั้งการให้การส่งเสริมในอุตสาหกรรมที่มีกำลังการผลิตเกินความต้องการ (Over Capacity) รวมถึงการกำกับดูแลภาคอุตสาหกรรมในเขต Freezoneอย่างเข้มงวด เพื่อป้องกันการลักลอบนำสินค้าและวัตถุดิบกลับมาขายในประเทศ 6. การส่งเสริมสินค้าที่ผลิตในประเทศ หรือสินค้าที่ได้รับการรับรอง Made in Thailand (MIT) ทั้งการเพิ่มสัดส่วนการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ การส่งเสริมขยายตลาดภาคเอกชน รวมทั้งการกำหนดเงื่อนไข การใช้สินค้าที่ผลิตในประเทศในโครงการรัฐ เช่น การกำหนดการใช้สินค้าไทยในโครงการบ้านเพื่อคนไทย ไม่น้อยกว่า 90% ของมูลค่าโครงการทั้งนี้ ภาครัฐควรเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนเข้าไปมีส่วนร่วมในการให้ความเห็นและข้อเสนอแนะในการเตรียมความพร้อมรับมือกับผลกระทบจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ที่ประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) แสดงจุดยืนสนับสนุนรัฐบาลในการยกระดับการแก้ไขปัญหาฝุ่น PM2.5 เป็นวาระแห่งชาติ หลังพบว่าปัญหาดังกล่าวส่งผลกระทบโดยตรงต่อสุขภาพของประชาชน ภาพลักษณ์ด้านการท่องเที่ยว เสียโอกาสทางธุรกิจในการจัดกิจกรรมกลางแจ้ง และกระทบต่อเศรษฐกิจในภาพรวมดังนั้นเพื่อยกระดับแนวทางแก้ไขปัญหาฝุ่น PM2.5กกร. จีงหารือแนวทางดำเนินการเชิงรุกในการแก้ไขปัญหาฝุ่น PM2.5 โดยมีมาตรการสำคัญ ดังนี้ 1) สนับสนุนการให้เงินอุดหนุนในช่วงเปลี่ยนผ่านเพื่อเร่งนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาลดปัญหาฝุ่นละอองและการเผาในภาคเกษตรกรรม 2) ส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากพื้นที่ป่าไม้ให้เกิดการบริหารจัดการที่ยั่งยืนลดปัญหาไฟป่าและกระตุ้นการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า 3) ผลักดันกลไกภาคเอกชนให้มีส่วนร่วมในคณะกรรมการต่างๆ ภายใต้พ.ร.บ. อากาศสะอาด และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง 4) สนับสนุนการใช้แผนที่ One Map และเตรียมความพร้อมปฏิบัติตามมาตรการ EUDP ภายใต้กฎหมายสินค้าปลอดการตัดไม้ทำาลายป่า (EU Deforestation Regulation: EUDR) เพื่อบริหารจัดการพื้นที่เกษตรกรรมและป่าไม้ 5) ใช้กลไกความร่วมมืออาเซียน เพื่อประสานการป้องกันและควบคุมปัญหาฝุ่น PM2.5 และไฟป่าในระดับภูมิภาค ทั้งนี้ กกร. ย้ำว่ามาตรการเหล่านี้ จะช่วยลดผลกระทบทางเศรษฐกิจจากปัญหาฝุ่น PM2.5 และเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐ เอกชน และประชาสังคมเพื่อให้เกิดการแก้ปัญหา PM2.5 อย่างมีประสิทธิภาพและอย่างยั่งยืน Regulatory Guillotine ซึ่ง กกร.เหนถึงความจำเป็นที่ประเทศไทยจะต้องปฏิรูปกฎหมายทั้งระบบ จึงเสนอให้เร่งดำเนินการแก้กฎหมายที่เป็นอุปสรรคและไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันโดยจัดลำดับความสำคัญ เพื่อให้มีผลสัมฤทธิ์ได้อย่างรวดเร็ว เพื่อรักษาขีดความสามารถในการแข่งขันสร้างความโปร่งใส และส่งเสริมความยากง่ายมนการดำาเนินธุรกิจ (Ease of Doing Business) ที่ประชุม กกร.สนับสนุนแนวทางการยกระดับการจัดการบัญชีม้าของสมาคมธนาคารไทยและธนาคารสมาชิก โดยที่ผ่านมา ได้พัฒนาระบบรักษาความปลอดภัยของ Mobile Banking เพื่อป้องกันApplication ดูดเงินและการควบคุมโทรศัพท์มือถือระยะไกล (Remote Access) งดการส่งข้อความSMS แนบลิงก์ในการติดต่อกับลูกค้า จัดให้มีHotline รับแจ้งเหตุ 24 ชั่วโมง ตลอด 7 วัน ร่วมกับศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมออนไลน์(AOC) พัฒนาระบบแลกเปลี่ยนข้อมูลในภาคธนาคาร (Central Fraud Registry) เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลบัญชีธุรกรรมต้องสงสัย และบัญชีม้า ทำให้สามารถจัดการระงับบัญชีม้าไปแล้วกว่า 1.8 ล้านบัญชีและเตรียมออกมาตรการเพิ่มเติมในการจัดการบัญชีม้านิติบุคคล ทั้งนี้เพื่อความสำเร็จจำเป็นที่ทุกภาคส่วนต้องมีส่วนร่วมในการจัดการปัญหาภัยทางการเงินตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ทั้งภาครัฐและเอกชน ผู้ให้บริการเครือข่ายโทรคมนาคม (Telco)ผู้ให้บริการแพลตฟอร์ม ผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล และผู้ให้บริการ E-Wallet รวมถึงภาคประชาชน ที่ต้องตื่นตัวและรู้เท่าทันภัยทางการเงิน เพื่อให้แก้ไขและป้องกันภัยทางการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน ที่มา : คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) |