หลังจากที่สภาพัฒน์ (NESDC) ได้แสดงสถิติทางเศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 1 ศกนี้ว่า สภาวะเศรษฐกิจมวลรวมขยายตัวเพียง 1.5% ต่อปี (ซึ่งต่ำที่สุดในกลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียน) และลดประมาณการของทั้งปี 2567 นี้ว่าจะเหลือเพียง 2.5%
แทบทุกฝ่ายก็กังวลกันเป็นอันมากว่า เศรษฐกิจไทยจะประสบกับสภาพซบเซาเช่นนี้ต่อไปอีกนานเท่าใด เพราะความอ่อนแรงนี้มาจากทั้งการอุปโภคบริโภค การลงทุน การผลิตภายในประเทศ และการส่งออกสู่ต่างประเทศ นอกจากนั้นไทยยังต้องต่อสู้กับความผันผวนและผลจากวิกฤติการณ์ต่าง ๆ ในตลาดโลกด้วย
ตัวอย่างเช่น อัตราดอกเบี้ยของตลาดเงินทุนอยู่ในระดับที่สูงต่อเนื่องเป็นเวลานาน สงครามระหว่างประเทศ (รัสเซียและยูเครน อิสราเอลและปาเลสไตน์) ที่ยืดเยื้อ ความแพร่หลายของ AI ความแปรปรวนของสภาพภูมิอากาศ และ สงครามทางการค้า
ปัจจัยเหล่านี้ส่ง ผลลบซ้ำเติมต่อเศรษฐกิจไทยจนประเทศได้ประสบปัญหาเศรษฐกิจในหลายรูปแบบ เช่น หนี้ครัวเรือนไทยพุ่งขึ้นถึงระดับ 91.3% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ ความสามารถในการชำระหนี้ของครัวเรือนลดลง ในขณะที่คุณภาพสินเชื่อทุกประเภทมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น
จึงไม่น่าแปลกใจที่สถาบันการเงินเข้มงวดมากขึ้นในการปล่อยสินเชื่อแก่ภาคเอกชน ส่งผลให้สภาพคล่องตึงตัวและภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวมากขึ้น
หลายฝ่ายจึงได้พยายามวางแผนแก้ปัญหาเศรษฐกิจเหล่านี้ด้วยหลายช่องทาง เช่น ขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ เร่งการเบิกจ่ายงบประมาณของรัฐ และออกกฎเกณฑ์เกี่ยวกับการแจกเงิน 10,000 บาท ต่อคน อย่างไรก็ตาม ความพยายามเหล่านี้มักจะมีผลแต่เพียงแก้ไขปัญหาระยะสั้น
สิ่งที่บทความนี้เสนอคือ สองช่องทางที่จะช่วยต่อสู้กับปัญหาได้สำเร็จอย่างยั่งยืน ซึ่งจะช่วยผลักดันให้ความเหลื่อมล้ำของการกระจายรายได้ลดลง และประเทศไทยหลุดพ้นจากกับดักประเทศรายได้ปานกลาง
- การกระจายตัว (Diversification) ของทั้งผลผลิตและตลาด / ลูกค้า
- การประสานงาน (Coordination) ระหว่างหน่วยงานของรัฐ และ / หรือ เอกชน
การกระจายตัวที่กล่าวข้างต้นนั้น ส่งผลดีในแง่ช่วยเพิ่มเสถียรภาพให้แก่รายได้ของผู้ผลิต การกระจายตัวนี้ทำได้ทั้งในภาคอุตสาหกรรม และภาคเกษตรกรรม แต่ตัวอย่างที่เห็นได้ง่ายและชัดมากคือ ภาคเกษตรกรรม
ชาวสวนยางพาราต้องต่อสู้กับราคาที่ผันผวนเป็นอันมากในตลาดโลก (เช่น จาก 29 บาทต่อกิโลกรัม ในปี 2545 เพิ่มขึ้นเป็น 128 บาทต่อกิโลกรัม ในปี 2554 และลดลงเหลือ 62 บาทต่อกิโลกรัม ในปี 2557)
ทุกครั้งที่ราคายางพาราตกต่ำ ผู้ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด คือ เกษตรกรชาวสวนยาง โดยเฉพาะชาวสวนยางรายเล็ก ซึ่งเป็นเกษตรกรส่วนใหญ่ของประเทศ อย่างไรก็ตาม มีทางออกทางหนึ่งที่เกษตรกรภาคใต้ได้เคลื่อนไหวให้มีการปลูก “พืชร่วมยาง” มาเกือบ 40 ปี แล้ว แต่ก็มีมาเป็นระยะ ๆ ขาดความต่อเนื่อง
ในระยะหลังการทำสวนยางแบบ “ผสมผสาน” ได้รับความสนใจกว่าการทำสวนยาง “เชิงเดี่ยว” เป็นอันมาก เพราะการทำการเกษตรแบบ “ผสมผสาน” นั้น ให้พืชผลและรายได้เฉลี่ยที่ทั้งสูงและยั่งยืนกว่า ตัวอย่างของพืชที่ปลูกคู่ขนานไปกับยางพาราได้แก่ ไผ่ ผักกาด ผักบุ้งจีน ผักกวางตุ้ง ตะไคร้ พริกขี้หนู โหระพา และผักชีฝรั่ง
เนื่องจากพืชผักสวนครัวนี้ก่อผลผลิตได้เกือบทุกวัน และมีตลาดรองรับอยู่เสมอ จึงสามารถช่วยสร้างรายได้ให้แก่ชาวสวนพืช “ผสมผสาน” ได้มากและสม่ำเสมอกว่าสวนพืชเดี่ยว การทำการเกษตรแบบ “ผสมผสาน” นี้
นอกจากจะช่วยลดความเสี่ยงทางด้านราคาแล้ว ยังช่วยเพิ่มทักษะในการทำการเกษตรอีกด้วย ซึ่งเป็นคุณสมบัติอันหนึ่งที่แรงงานต้องมีก่อนที่ประเทศจะหลุดพ้นจากกับดักประเทศรายได้ปานกลาง
อนึ่ง การกระจายตัวของผลผลิตการเกษตรที่กล่าวข้างต้น มิได้จำกัดอยู่แต่เพียงยางพาราในภาคใต้เท่านั้น การแปลงนาข้าวเป็นสวนกล้วยหอมทอง มะละกอ ผักหวานบ้าน และหอยเชอรี่ ก็ได้รับความสนใจและทำรายได้ดีมากในภาคอีสาน
เกษตรกรที่เข้าร่วมมือทำการกระจายผลผลิตเหล่านี้ได้ทักษะจากการศึกษาข้อมูลเองจากแหล่ง internet / youtube และติดต่อสื่อสารกับตลาด โดยมักมีข้อคิดหลักก่อนลงมือทำว่า “หาตลาด ก่อนลงมือผลิต”
การประสานงาน (Coordination) หมายถึง การวางแผน จัดการ และดำเนินธุรกิจการผลิตและส่งขายสินค้าและบริการของภาครัฐและเอกชน (ทั้งที่เกี่ยวโยง และ / หรือ เกี่ยวข้องซึ่งกันและกัน) ให้อยู่ในขั้นตอน เวลา ปริมาณ และคุณภาพที่เหมาะสมแก่เศรษฐกิจส่วนรวม
ในเมื่อเป้าหมายของการประสานงานเป็นเช่นนั้น ก็สมควรที่จะมีหน่วยงานเพียงหน่วยเดียว (Coordinator) มาช่วยทำหน้าที่ในการประสานงานภายในธุรกรรมแต่ละประเภท และ Coordinator ของธุรกิจแต่ละประเภทก็มาประสานงานกันเพื่อแก้ไขปัญหาต่อไป ทั้งนี้เพื่อช่วยลดความยุ่งยากและสับสนที่แต่ละหน่วยงานธุรกิจต้องประสบปัญหาอยู่ดังเช่นปัจจุบัน
ตัวอย่างเช่น ภายในธุรกิจคมนาคมขนส่ง สมาชิกบางกลุ่มอาจมีปัญหาหรือข้อขัดแย้งซึ่งกันและกันในบางแง่มุม หลังจากการปรึกษาหารือกับ Coordinator ของกลุ่มนี้แล้ว ก็อาจจะได้ข้อเสนอที่นำไปใช้แก้ไขปัญหาส่วนรวมแก่ธุรกิจคมนาคมขนส่งได้ เพราะ Coordinator ของธุรกิจคมนาคมขนส่งก็จะไปหารือและทำข้อตกลงกับ Coordinators ของกลุ่มอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
อย่างไรก็ตาม หากจะให้ Coordinator สามารถให้ข้อเสนอแนะเหล่านั้นได้ Coordinator ในแต่ละสายงานธุรกิจจำเป็นต้องเตรียมตัวให้พร้อมในหลายแง่มุม ตัวอย่างเช่น
(1) วางตารางเวลาให้ถูกต้องและเหมาะสมกับฤดูกาลและความเร่งด่วนของปัญหาและ / หรือ สถานการณ์
(2) ติดตามสภาวะของเศรษฐกิจโลก รวมถึงนวัตกรรมรุ่นใหม่
(3) ประมาณการความต้องการและผลผลิตในตลาดโลกว่ามีโอกาสเท่าใดที่จะเปลี่ยนแปลงใปในทิศทางใดและรวดเร็วเพียงไร เพราะประมาณการเช่นนั้นจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งแก่ภาคเอกชนในการวางแผนการผลิตและปรับตัวล่วงหน้า
(4) ประเมินสถานภาพของอุตสาหกรรม / เกษตรกรรม / บริการชองไทยว่ากำลังประสบปัญหาใดอยู่บ้าง
(5) ช่วยคิดค้นและแนะนำวิธีแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นกับผู้ประกอบการเอกชนส่วนใหญ่ (โดยเฉพาะในกลุ่ม SMEs)
(6) ให้คำแนะนำเกี่ยวกับช่องทางการหาเงินทุนและเครื่องจักรกลมาสนับสนุนการลงทุนและ การผลิต
(7) ไม่มองข้ามความเป็นไปได้ของการร่วมมือดำเนินธุรกิจของหลายประเภทเข้าด้วยกัน (Cooperation) เพราะการร่วมมือเช่นนั้นสามารถช่วยลดต้นทุนบางอย่างลงได้ ซึ่งจะเป็นประโยชน์มากแก่ประเทศขนาดเล็ก ดังเช่น ไทย ที่มีทรัพยากรธรรมชาติค่อนข้างจำกัด
อนึ่ง ในการปฏิบัติหน้าที่ของ Coordinator นี้ ควรให้ความสำคัญเป็นพิเศษกับการเพิ่มคุณภาพให้แก่แรงงาน เพราะในยุคเทคโนโลยีรุ่นใหม่ เช่น AI หลายรูปแบบนี้ ผู้ผลิตส่วนใหญ่มักเลือกจ้างเฉพาะแรงงานที่มีทักษะสูง
ดังนั้น ในระหว่างที่ Coordinator ปฏิบัติงานหาช่องทางแก้ไขปัญหาให้แก่ผู้ประกอบการเอกชนเป็นจำนวนมาก ซึ่งอาจรวมถึงกลยุทธ์ที่เกี่ยวโยงกับการควบรวม (M & A) เชื่อมโยง (Affiliation & Connection) และสลับสับเปลี่ยนรูปแบบหรือผลผลิตของอุตสาหกรรม Coordinator ควรคำนึงถึงผลดีและผลเสียแก่ทักษะของแรงงานที่เกี่ยวข้องด้วย.
ที่มา : กรุงเทพธุรกิจ